ศราวุฒิ วัชระปันตี*
มนุษย์รู้จักใช้วัสดุมีค่า มีความสวยงาม มาใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่งร่างกายมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ความนิยมสวมใส่เครื่องประดับร่างกายยังคงมีอย่างต่อเนื่อง มีการประดิษฐ์เครื่องประดับขึ้นมามากมายหลากหลายประเภท ให้เหมาะสมกับ เพศ วัย และฐานะ ซึ่งสะท้อนให้เห็น ภูมิปัญญาในการสร้างสรรค์ ค่านิยม และยังบ่งบอกถึงสถานะภาพทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และความเชื่อของผู้คนแต่ละยุคสมัยเป็นอย่างด
เครื่องประดับสำหรับเด็กในสมัยโบราณจะมีลักษณะคล้ายกับของผู้ใหญ่แต่จะมีขนาดที่เล็กกว่า และมักจะมีลูกกระพรวนหรือกระพรวนโลหะขนาดเล็กติดห้อยไว้ เพื่อให้เกิดเสียงดังทำให้ทราบว่าเด็กคลานหรือ วิ่งเล่นอยู่ที่ใด เครื่องประดับสำหรับเด็กบางชนิดนอกจากจะใช้ประดับตกแต่งร่างกายให้งดงามแล้วยังแฝงด้วยความเชื่อในสิ่งลี้ลับและการป้องภัยจากสิ่งเหนือธรรมชาติที่มองไม่เห็น ซึ่งเครื่องประดับเหล่านี้ค่อยเลือนหายไปจากสังคมไทยในปัจจุบัน ตามวัฒนธรรม ความเชื่อที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย
เครื่องประดับสำหรับเด็กประเภทหนึ่งที่มีมาแต่โบราณ และในปัจจุบันมีน้อยคนที่จะรู้จัก คือ จับปิ้ง หรือ กระจับปิ้ง จะปิ้ง ตะปิ้ง ซึ่งสันนิษฐานว่ามีรากศัพท์มาจากคำว่า "Caping” ในภาษามลายู ถือเป็นเครื่องประดับสำหรับเด็กอย่างหนึ่ง ใช้สวมใส่เพื่อปกปิดอวัยวะเพศของเด็กโดยใช้ผูกที่บั้นเอว พบทั่วไปในดินแดนอินเดียตอนใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และทุกภาคของไทย
จับปิ้งเป็นเครื่องประดับที่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอินเดีย จากการศึกษาค้นคว้าพบว่า ในอินเดียตอนใต้ มีเครื่องประดับของชาวทมิฬที่มีลักษณะและการใช้งานคล้ายกับจับปิ้ง ที่เรียกว่า Araimudi หรือ Araimuti [๑] ในภาษาทมิฬเป็นแผ่นโลหะเงินหรือทองคำขนาดเล็ก รูปหัวใจ ใช้ปกปิดอวัยวะเพศของเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายและถือเป็นเครื่องรางที่คุ้มครองผู้สวมใส่จากวิญญาณร้ายและอันตรายต่าง ๆ [๒]
ธรรมเนียมการใช้จับปิ้งเป็นเครื่องประดับสำหรับเด็กได้แพร่หลายเข้ามาในคาบสมุทรมลายูในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๗ – ๑๓ โดยพบหลักฐานการใช้จับปิ้งในตอนเหนือและชายฝั่งทะเลตะวันออกของมาเลเซีย นอกจากนี้ยังพบในหมู่เกาะต่าง ๆ ของอินโดนีเซีย โดยใช้สวมใส่ให้กับเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายเมื่อสามารถยืนหรือเดินได้ ซึ่งมีอายุประมาณ ๑ ขวบ เชื่อว่าจับปิ้งเป็นเครื่องรางที่คุ้มครองผู้สวมใส่จากวิญญาณร้ายและอันตรายต่าง ๆ ในการผูกจับปิ้งแก่เด็กๆ นั้นจะมีการประกอบพิธีกรรมโดยหมอชาวบ้านหรือแพทย์แผนโบราณ (Bomoh) จับปิ้งในแถบนี้จะมีลักษณะคล้ายรูปหัวใจหรือใบโพ ลวดลายที่สลักตกแต่งลงลงบนจับปิ้งมี ๒ รูปแบบ คือ ลายพันธุ์พฤกษาใช้สลักบนจับปิ้งสำหรับเด็กผู้หญิง ส่วนลายกากบาท (เครื่องหมาย +) ใช้สลักบนจับปิ้งสำหรับเด็กผู้ชาย นอกจากนี้ยังพบหลักฐานการใช้จับปิ้งในราชสำนัก ซึ่งทำด้วยโลหะมีค่า เช่น ทองคำ และมีการสงวนการใช้เชือกสีขาว สีเหลือง สีแดง สีเขียว และสีม่วง [๓] ที่ใช้ในการผูกจับปิ้งสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ หรือเจ้านายในราชตระกูล
ธรรมเนียมการผูกจับปิ้งในสยามมีมาแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน จากการขุดค้นทางโบราณคดี มีการค้นพบจับปิ้งสำริด สลักเป็นภาพนางรำ เป็นศิลปะสมัยลพบุรี ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๘ สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากคาบสมุทรมลายู ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาปรากฏหลักฐาน การจำหน่ายจับปิ้งโดยในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ได้กล่าวถึงแหล่งจำหน่ายเครื่องเงินไว้ว่า "ถนนย่านป่าขันเงินมีร้านขายขันขายผอบตลับซองเครื่องเงินแลถมยาดำ กำใลมือแลท้าว ปิ่นซ่นปิ่นเขม กระจับปิ้ง พริกเทศ ขุนเพ็ด สายสะอิ้ง สังวาลทองคำขี้รักแลสายลวด ชื่อตลาดขันเงิน”
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ธรรมเนียมการผูกจับปิ้งก็ยังคงได้รับความนิยม ดังปรากฏพระราชบัญญัติที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราขึ้น ในพ.ศ.๒๓๔๒ ความว่า "จะแต่งบุตรแลหลานก็ให้ใส่แต่จี้ เสมา ภัคจั่น จำหลักประดับพลอยแดงเขียวแต่เท่านี้ อย่าให้ประดับเพชร ถมญาราชาวะดี ลูกปะวะหล่ำเล่า ก็ให้ใส่แต่ลายแทงแลเกลี้ยงเกี้ยว อย่าให้มีกระจังประจำยาม ๔ ทิศ แลอย่าให้ใส่กระจับปิ้ง พริกเทศทองคำ กำไลทองคำใส่เท้า อย่าให้ข้าราชการผู้น้อยแลราษฎรกั้นร่มผ้าศรีผึ้งแลกระทำให้ผิดด้วยอย่างทำเนียมบันดาศักดิเป็นอันขาดเดียว”
ชาวไทยหรือชาวสยามนิยมผูกจับปิ้งให้กับเด็กผู้หญิง ซึ่งจัดทำด้วยวัสดุที่หลากหลายตามฐานะของผู้สวมใส่ นิยมทำด้วยโลหะที่ไม่เป็นสนิม โดยจับปิ้งสำหรับเจ้านาย และบุตรหลานขุนนางชั้นผู้ใหญ่ มักทำด้วยทองคำ ส่วนของเด็กผู้หญิงทั่วไปมักทำด้วยเงินและนาก ส่วนผู้ที่มีฐานะยากจนจะใช้จับปิ้งจากกะลามะพร้าว ญาติผู้ใหญ่จะผูกจับปิ้งให้ลูกหลานหลังจากโกนผมไฟ จนกระทั่งอายุประมาณ ๑๐ – ๑๒ ขวบหรือกระทั่งโกนจุกจึงเลิกใช้จับปิ้งเปลี่ยนไปนุ่งห่มเสื้อผ้าตามฐานะ
จับปิ้งในสยาม มี ๒ รูปทรง คือ
๑. จับปิ้งทรงทะนาน หรือรูปใบโพ มีขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือ โตพอที่จะปิดบังอวัยวะเพศของผู้สวมใส่ได้มิดชิด ตอนบนกลมป้อม ตอนล่างเรียวแหลม ตรงกลางโค้งนูนเป็น กระเปาะ ด้านหน้าสลักลวดลายต่างๆ เช่น ลายพันธุ์พฤกษา ด้านหลังเรียบเกลี้ยง ขอบด้านบนมีแท่งทรงกระบอกกลวงตรงกลาง หรือเจาะรูเล็กๆ ๒ รู ใช้ร้อยสร้อยหรือเชือกสำหรับ ผูกบริเวณบั้นเอว ขอบจับปิ้งมักเลี่ยมให้มนเพื่อป้องกันไม่ให้บาดเนื้อผู้สวมใส่ [๔]
โดยสรุปจะเห็นได้ว่า จับปิ้งเป็นเครื่องประดับสำหรับเด็กที่มีความเป็นมายาวนานหลายศตวรรษ มีการเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมการใช้ตามความนิยม และกาลเวลา นอกจากจะใช้เป็นเครื่องประดับ เพื่อความสวยงาม และใช้ปกปิดร่างกายของเด็กแล้ว การผูกจับปิ้งยังเป็นกุศโลบายของคนในอดีตที่จะเบี่ยงเบนความสนใจผู้พบเห็นไม่ให้สนใจกับอวัยวะเพศมาก และ ที่สำคัญเป็นการปลูกฝังว่าอวัยวะเพศเป็นของสงวน ต่อมาความนิยมในการใช้จับปิ้งเป็นเครื่องประดับสำหรับเด็กผู้หญิงได้คลายลง และได้ถูกแทนที่ด้วยกางเกงชั้นในหรือผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็ก เนื่องด้วยวิถีชีวิตและสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
ปัจจุบันจับปิ้งกลายเป็นเครื่องประดับที่หายาก และเป็นที่ต้องการของนักสะสมของเก่า อีกทั้งพิพิธภัณฑ์บางแห่งได้นำจับปิ้งมาใช้เป็นวัตถุจัดแสดงเพื่อสะท้อนวิถีชีวิตของสังคมไทยในอดีต โดยในส่วนของสำนักทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน กรมธนารักษ์ ได้คัดเลือกจับปิ้งที่มีความวิจิตร งดงาม ประณีต ละเอียดอ่อนด้วยฝีมือช่างโบราณในราชสำนัก จัดสร้างด้วยวัตถุสูงค่า ออกจัดแสดงให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้และชื่นชม ความงดงาม ในห้องนิทรรศการเครื่องประดับและอัญมณี ณ ศาลาเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญกษาปณ์ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ จับปิ้งที่นำออกจัดแสดง มีด้วยกัน ๓ ชิ้น ดังนี้
๒. จับปิ้งเงินถมตะทอง เป็นจับปิ้งรูปใบโพ ทำด้วยเงินถมตะทอง ตรงกลางนูน สลักดุนลายตรงกลางเป็นลายดอกใบเทศ ขอบด้านข้างเป็นลายใบเทศ มุมด้านบนประดับด้วยดอกไม้สี่กลีบ มุมด้านล่างประดับด้วยกระจังใบเทศ ด้านบนมีห่วงสำหรับร้อยสายสร้อย
๓. จับปิ้งเงินถมตะทอง เป็นจับปิ้งรูปใบโพ ทำด้วยเงินถมตะทอง ตรงกลางนูน สลักดุนลายรักร้อยใบเทศและลายก้านต่อดอกใบเทศโดยรอบ มุมด้านบนประดับด้วยดอกลำดวน มุมด้านล่างประดับด้วยกระจัง ใบเทศ ด้านบนทำเป็นหลอดสำหรับร้อยสายสร้อย
บทความเรื่องนี้สำเร็จลงได้ผู้เขียนขอขอบคุณ นางสาวสุวรา สาครสวัสดิ์ เจ้าหน้าที่วิเทศสัมพันธ์ นางสาวนุศรา ปานนาค พนักงานนำชม นางสาวณัฐปาล ไชยยะ นักศึกษาฝึกงาน ที่สละเวลาในการแปลข้อมูลจากเอกสารต่างประเทศ เพื่อนำมาใช้ประกอบการเขียนบทความ