น้ำ ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด มักจะถูกนำมาใช้ในการชำระล้างและดื่มกิน แต่บางวัฒนธรรมน้ำถือว่ามีความสำคัญในแง่ของการใช้ประกอบพิธีกรรมซึ่งแตกต่างกันไป โดยเฉพาะในประเทศอินเดียที่มีการนับถือในลัทธิพราหมณ์-ฮินดู จะมีการใช้น้ำในการประกอบพิธีต่างๆ เช่น ปฐมาภิเษก เป็นการรดน้ำครั้งแรกในพิธีโกนผมไฟหรือพิธีลงท่า ราชาภิเษกคือ การรดน้ำเพื่อแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ สังคราภิเษก คือการรดน้ำเพื่อเป็นสิริมงคลก่อนออกทำศึกสงคราม อาจารยภิเษก คือการรดน้ำเพื่อแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ ส่วนปราบดาภิเษก คือการรดน้ำเพื่อแสดงถึงการขึ้นเป็นกษัตริย์
เมื่อคติความเชื่อในการสถาปนาผู้นำขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์หรือพระราชาจากอินเดียมาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ กษัตริย์จะต้องผ่านพิธีสำคัญ คือ การอภิเษก การกระทำสัตย์ และการถวายราชสมบัติ เพื่อจะได้ดำรงตำแหน่งอย่างถูกต้องและสมบูรณ์ โดยเฉพาะ "การอภิเษก” หรือมักเรียกว่า "อินทราภิเษก” [๑] ซึ่งเป็นพิธีที่มีความเกี่ยวข้องกับ "น้ำ” และถือเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญที่สุด ที่มีการใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์ในการชำระล้างผู้ที่เข้ารับตำแหน่งใหม่หรือย่างเข้าก้าวใหม่ของชีวิตให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่ใหม่ ถือเป็นการรดน้ำเพื่อให้เป็นใหญ่ในโลก ซึ่งหมายถึงการเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งก็คือ "พระราชาธิราช” นั่นเอง
การสถาปนาผู้ที่ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ได้มีการปรับเปลี่ยนไปบ้างตามขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งการเรียกชื่อพิธีการที่แตกต่างออกไป สำหรับในประเทศไทยนักวิชาการมีการสันนิษฐานว่าคงไม่ได้รับรูปแบบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์จากอินเดียโดยตรง แต่น่าจะมีการรับผ่านจากพวก มอญ ชวา และเขมร โดยเรียกพระราชพิธีนี้ว่า "พระราชพิธีบรมราชาภิเษก” มาจากคำว่า พระราชพิธี + บรม + ราช + อภิเษก เป็นประเพณีสำคัญที่สุด จัดขึ้นในวโรกาสที่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ เป็นพระราชพิธีในการสถาปนาให้พระองค์เป็นพระราชาธิบดีของราชอาณาจักรโดยสมบูรณ์
สำหรับในประเทศไทยพระราชพิธีบรมราชาภิเษกปรากฏหลักฐานในหลักศิลาจารึกหลักที่ ๒ หรือศิลาจารึกวัดศรีชุมสมัยสุโขทัย โดยนักวิชาการสันนิษฐานว่า จารึกนี้เกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ซึ่งกล่าวถึงการขึ้นเป็นผู้นำของพ่อขุนบางกลางหาว ไว้ว่า "...พ่อขุนผาเมืองจึงอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวให้เมืองสุโขทัย ให้ทั้งชื่อตนแก่พระสหายเรียกชื่อศรีอินทรบดินทราทิตย์...” [๒]
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาพบหลักฐานเกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกไว้ในคำให้การของชาวกรุงเก่า โดยมีข้อความตอนหนึ่งได้กล่าวถึงขั้นตอนของพระราชพิธีนี้ไว้ว่า "...พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาจึงโปรดให้เอามะเดื่อนั้นมาทำตั่งสำหรับประทับสงพระกระยาสนานในการมงคล เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นต้น พระองค์ย่อมประทับเหนือพระที่นั่งตั่งไม้มะเดื่อ สรงพระกระยาสนานก่อนแล้ว (จึงเสด็จไปประทับเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ) มุขอำมาตย์ถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์...” [๓] นอกจากนี้ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยกรุงศรีอยุธยายังถูกรวบรวมขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เมื่อปีพ.ศ. ๒๓๒๖
ในสมัยกรุงธนบุรี ถึงไม่มีเอกสารที่เกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์บางชิ้นที่แสดงถึงช่วงเวลาที่พระองค์ทรงปราบดาภิเษก ในปี พ.ศ. ๒๓๑๑ เช่น จดหมายโหรในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๘ ความว่า "ปีชวด จ.ศ. ๑๑๓๐ เมืองพิษณุโลก เมืองพิจิตร แตกมาสู่โพธิสมภาร ได้เมืองนครเสมา ณ วัน ๓ฯ๔ ๑ ค่ำ เวลาเช้าโมง ๑ แผ่นดินไหว ปีนี้เจ้าตากได้ราชสมบัติ อายุ ๓๔ ปี
ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ได้ถือแบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา จากหลักฐานในพงศาวดารความว่า "เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้เสด็จขึ้นผ่านพิภพ โดยคำอัญเชิญของบรรดาเสนามาตย์และราษฎรทั้งปวง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้ว ก็ได้ทรงกระทำพิธีปราบดาภิเษกแต่โดยสังเขปก่อน แล้วจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการผู้รู้ครั้งกรุงเก่า ซึ่งมีเจ้าพระยาเพชรพิชัยเป็นประธาน ประชุมปรึกษาหารือกับสมเด็จพระสังฆราชและราชาคณะผู้ใหญ่ทำการสอบสวนค้นคว้าคัมภีร์และแบบแผนพิธีบรมราชาภิเษกขึ้น เมื่อได้แบบแผนโดยสมบูรณ์และบ้านเมืองก็ว่างศึกสงครามลงแล้ว จึงได้ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกให้สมบูรณ์ตามแบบแผนอันได้เคยมีมาแต่เก่าก่อนอีกครั้งหนึ่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘” [๔] และยึดถือปฏิบัติเป็นแบบอย่างในรัชกาลต่อมา ซึ่งในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แบ่งออกเป็น ๔ ขั้นตอน ดังนี้
๑. การเตรียมพิธี มีการทำพิธีตักน้ำและที่ตั้งสำหรับถวายเป็นน้ำอภิเษกและน้ำสรงพระมุรธาภิเษก [๕] จารึกพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกร เตรียมตั้งเครื่องบรมราชาภิเษก และเตรียมสถานที่จัดพระราชพิธี
๒. พิธีเบื้องต้น ประกอบด้วย การเจริญพระพุทธมนต์ตั้งน้ำวงด้าย จุดเทียนชัยและเจริญพระพุทธมนต์ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
๓. พิธีบรมราชาภิเษก ประกอบด้วยพิธีสรงพระมุรธาภิเษก พิธีถวายน้ำอภิเษกจากผู้แทนทิศทั้ง ๘ ที่พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ และพิธีถวายสิริราชสมบัติและเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่พระที่นั่งภัทรบิฐ
๔. พิธีเบื้องปลาย ประกอบด้วยการเสด็จออกมหาสมาคม สถาปนาสมเด็จพระราชินี แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปทำพิธีประกาศองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกในพระบวรพุทธศาสนา ถวายบังคมพระบรมศพ พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและอัครมเหสีในรัชกาลองค์ก่อนๆ เสด็จเฉลิมพระราชมณเฑียร และเสด็จเลียบพระนคร
กษัตริย์หรือผู้นำที่จะขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ในขั้นตอนการเตรียมพิธีจะต้องมีการตักน้ำจากแหล่งสำคัญๆ สำหรับนำมาเป็นน้ำสรงพระมุรธาภิเษก และเพื่อทำน้ำอภิเษกก่อนที่จะนำไปประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งน้ำที่นำมาจะต้องมีความพิเศษกว่าน้ำธรรมดาทั่วไป โดยตามตำราโบราณของพราหมณ์ จะต้องเป็นน้ำที่มาจาก "ปัญจมหานที” หรือ แม่น้ำสายสำคัญ ๕ สายในชมพูทวีป ได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมนา แม่น้ำมทิ แม่น้ำอจิรวดี และแม่น้ำสรภู โดยน้ำในแม่น้ำทั้ง ๕ จะไหลมาจากเขาไกรลาส ซึ่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และที่สถิตของพระอิศวร
สมัยสุโขทัยมาจนถึงสมัยอยุธยาแม้จะมีการกล่าวถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่ก็ไม่พบหลักฐานการนำน้ำปัญจมหานทีในชมพูทวีปมาใช้ในราชพิธี ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าการเดินทางไปกลับระหว่างประเทศไทยในอดีตและประเทศอินเดียเป็นไปได้ยากที่จะนำน้ำจากปัญจมหานทีมาใช้ได้ เพราะตามธรรมเนียมประเพณีมาแต่เดิม เมื่อกษัตริย์พระองค์ใดเสด็จผ่านพิภพ จะต้องทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกภายใน ๗ วัน หรืออย่างช้าภายในเดือนเศษ เป็นประเพณีสืบมาและกระทำกันก่อนที่จะถวายพระราชเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน จึงสันนิษฐานได้ว่า ถ้าจะนำน้ำมาจากชมพูทวีปจึงเป็นไปไม่ได้ แต่จากหลักฐานการใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์มาใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก็ปรากฏในหลักศิลาจารึกวัดศรีชุมของพญาลิไทแห่งสุโขทัยที่ได้กล่าวถึงพ่อขุนผาเมืองอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวให้เป็นผู้ปกครองสุโขทัย และข้อความในศิลาจารึก (พ.ศ. ๑๑๓๒) ว่า "น้ำพุที่ออกมาจากเขาลิงคบรรพตข้างบนวัดภูใต้นครจำปาศักดิ์นั้นใช้เป็นน้ำอภิเษก” [๖] ในสมัยกรุงศรีอยุธยาปรากฏหลักฐานการใช้น้ำสำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจากน้ำในสระเกษ สระแก้ว สระคา สระยมนา ในแขวงเมืองสุพรรณบุรี [๗] เท่านั้น
ต่อมาสมัยรัตนโกสินทร์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ จนถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนอกจากจะใช้น้ำจากแหล่งเดียวกันกับในสมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว ยังนำน้ำจากแม่น้ำสายสำคัญอีก ๕ สาย เรียกกันว่า "เบญจสุทธิคงคา” ซึ่งตักมาจากเมืองต่างๆ ดังนี้
๑. น้ำในแม่น้ำเพชรบุรี ตักที่ตำบลท่าไชย จังหวัดเพชรบุรี
๒. น้ำในแม่น้ำราชบุรี ตักที่ตำบลดาวดึงส์ จังหวัดสมุทรสงคราม
๓. น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ตักที่บางแก้ว จังหวัดอ่างทอง
๔. น้ำในแม่น้ำป่าสัก ตักที่ตำบลท่าราบ จังหวัดสระบุรี
๕. น้ำในแม่น้ำบางประกง ตักที่ตำบลพระอาจารย์ จังหวัดนครนายก
นอกจากนี้ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระสงฆ์เป็นพระครูพระปริตไทย ๔ รูป สำหรับสวดทำน้ำพระพุทธมนต์ในพิธีสรงมุรธาภิเษก จึงมีน้ำพระพุทธมนต์เพิ่มขึ้นอีกอย่าง
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในปี พ.ศ. ๒๔๑๑ ก็ใช้น้ำเบญจสุทธิคงคา และน้ำในสระ ๔ สระ เมืองสุพรรณบุรี เป็นน้ำสรงพระมุรธาภิเษกและน้ำอภิเษกเช่นเดียวกับเคยใช้ในรัชกาลก่อนๆ ต่อมาเมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ. ๒๔๑๕ ทรงได้นำน้ำปัญจมหานทีที่มีการบันทึกในตำราของพราหมณ์ กลับมายังประเทศสยามด้วย และในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ เมื่อพระองค์ได้ทรงกระทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งที่ ๒ น้ำสรงมุรธาภิเษก จึงเพิ่มน้ำปัญจมหานทีลงในน้ำเบญจสุทธิคงคาและน้ำในสระทั้ง ๔ ของเมืองสุพรรณบุรีด้วย [๘]
เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ทรงใช้น้ำมุรธาภิเษก และน้ำอภิเษกจากแหล่งเดียวกันกับรัชกาลที่ ๕ ต่อมาเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชในปี พ.ศ. ๒๔๕๔ นอกจากใช้น้ำเบญจคงคา น้ำปัญจมหานทีและน้ำทั้ง ๔ สระจากสุพรรณบุรีแล้ว ยังได้ตักน้ำจากแหล่งอื่นๆ และแม่น้ำตามมณฑลต่างๆ ที่ถือว่าเป็นแหล่งสำคัญและเป็นสิริมงคล มาตั้งทำพิธีเสกน้ำพุทธมนต์ ณ พระมหาเจดียสถานที่เป็นหลักพระมหานครโบราณ ๗ แห่ง ได้แก่
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้ตั้งพิธีทำน้ำอภิเษกที่หัวเมืองมณฑลต่างๆ รวม ๑๘ แห่ง ซึ่งสถานที่ตั้งทำน้ำอภิเษกในรัชกาลนี้ใช้สถานที่เดียวกันกับในสมัยรัชกาลที่ ๖ เพียงแต่เปลี่ยนจากวัดมหาธาตุเมืองเพชรบูรณ์ มาตั้งที่พระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ และเพิ่มอีกหนึ่งแห่งที่ พระลานชัย จังหวัดร้อยเอ็ด [๑๐]
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ได้นำน้ำตามมณฑลต่างๆ ๑๘ แห่ง เช่นเดียวกันกับในสมัยรัชกาลที่ ๗ แต่เปลี่ยนสถานที่จากพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ มาตักน้ำบ่อแก้ว และทำพิธีเสกน้ำที่พระธาตุแช่แห้ง ซึ่งเป็นปูชนียสถานสำคัญในจังหวัดน่านแทน [๑๒]
เมื่อได้น้ำอภิเษกที่ได้ตั้งพิธีเสก ณ มหาเจดียสถานและพระอารามต่างๆ แล้ว เจ้าหน้าที่จะนำมายังพระนครก่อนหน้ากำหนดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยอัญเชิญตั้งไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนกว่าจะถึงวันงานจึงอัญเชิญเข้าพิธีสวดพุทธมนต์ เสกน้ำ ณ พระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ต่อไป
อาจกล่าวได้ว่า น้ำถือเป็นสิ่งสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่นับถือพระอิศวร ซึ่งพระองค์ประทับ ณ เขาไกรลาศ จึงเชื่อกันว่า น้ำที่มาจากเขานี้เป็นน้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงนำมาประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของกษัตริย์ เพื่อแสดงถึงการมีอำนาจเป็นผู้ปกครองอย่างสมบูรณ์แบบ ถึงแม้ว่าการนำน้ำจากปัญจมหานที เป็นไปได้ยากมากในอดีต จึงมีการหาแหล่งน้ำที่สำคัญๆ เพื่อใช้แทนน้ำปัญจมหานทีจากอินเดีย โดยในประเทศไทยพบว่า พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมัยอยุธยามีการนำน้ำมาจากสระทั้ง ๔ ในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีการนำน้ำจากแหล่งต่างๆ เพิ่มอีก ๕ สาย เรียกว่า เบญจสุทธิคงคา จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๕ ในคราวที่เสด็จเยือนประเทศอินเดียจึงได้มีการนำน้ำปัญจมหานทีมาเป็นน้ำอภิเษกเพิ่ม และในสมัยรัชกาลที่ ๖ พบว่ามีการนำน้ำจากแหล่งต่างๆ ตั้งพิธีเสก ณ มหาเจดียสถานสำคัญๆ จำนวน ๗ แห่ง และจากวัดต่างๆ ใน ๑๐ มณฑล ซึ่งจะเห็นได้ว่า แหล่งน้ำเหล่านี้มาจากทั่วทุกภาคของไทย อาจมีความหมายเป็นนัยของการถวายพระราชอำนาจแด่องค์พระมหากษัตริย์โดยใช้น้ำอภิเษกเป็นสัญลักษณ์