สังคมไทยตั้งแต่อดีตนับแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีพระราชอำนาจสูงสุด ในราชอาณาจักร ทรงปกครองบ้านเมืองเพื่อประโยชน์สุขของประชาราษฎร์ภายใต้ทศพิธราชธรรม ในการบริหารราชการแผ่นดินนั้น พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการเป็นผู้ทำราชการต่างพระเนตรพระกรรณ เพื่อแบ่งเบาพระราชกิจ ผู้ที่รับราชการแผ่นดินจะได้รับศักดินา ยศ ราชทินนาม และตำแหน่ง เป็นเครื่องชี้บอกถึงอำนาจและเกียรติยศ โดยพระมหากษัตริย์จะพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศเพื่อบ่งบอกฐานานุศักดิ์ในสังคม และเป็นบำเหน็จรางวัลในการประกอบความชอบในราชการแผ่นดิน ซึ่งเครื่องราชอิสริยยศเหล่านี้จะต้องถวายคืนเมื่อได้รับในชั้นสูงขึ้น ถึงแก่กรรมหรือพ้นจากหน้าที่ราชการ
เครื่องราชอิสริยยศในราชสำนักไทยได้ปรากฏหลักฐานจารึกหลักที่ ๕ ศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) แห่งสมัยกรุงสุโขทัย โดยมีการกล่าวถึงเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์ คือ มงกุฎ พระขรรค์ชัยศรี และเศวตฉัตร [๑] แต่ไม่ปรากฏการ พระราชทานเครื่องราชอิสริยยศแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ
ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้มีการกล่าวถึงการพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศแก่พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าและฝ่ายใน ผู้ที่ทำความชอบในหน้าที่ราชการและการสงคราม ปรากฏหลักฐานในกฎมณเฑียรบาล และพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับต่างๆ สามารถแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ได้แก่
ในสมัยกรุงธนบุรี ปรากฏหลักฐานการพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศแก่ข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งสำคัญในบ้านเมือง ผู้ที่ทำความชอบในหน้าที่ราชการและการสงคราม จากเอกสารทางประวัติศาสตร์สมัยกรุงธนบุรี [๑๔] พบว่ามีการพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศเพิ่มเติมจากสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้แก่
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาเพชรพิชัยซึ่งเป็นขุนนางครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นผู้บอกแบบแผนขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ เมื่อครั้งกรุงเก่า ดังนั้นแบบแผนของเครื่องราชอิสริยยศและการพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จึงสืบเนื่องมาจากครั้งกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี และมีการพระราชทานเพิ่มเติมต่อมาจนถึงปัจจุบัน สามารถแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ๗ ประเภท ดังนี้
กระทั่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเดล้าฯ ให้สร้างเครื่องราชอิสริยยศประดับอกเสื้อคล้ายเครื่องหมายแบบชาวตะวันตก เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๐ เป็นดาราไอราพต โดยทรงนำแบบอย่างมาจากลวดลายของตราพระราชลัญจกรไอราพต ทรงสร้าง สำหรับเป็นเครื่องต้น ๒ องค์และพระราชทานพระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒ องค์
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๐๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างดารานพรัตน เป็นดารารูปดาวมีรัศมี ๘ แฉก ประดับพลอย ๙ ชนิด รัศมีประดับด้วยเพชร ทรงสร้างขึ้นเป็นเครื่องต้น ๑ องค์และพระราชทาน พระบรมวงศานุวงศ์ ๓ องค์อีกทั้งมีแนวพระราชดำริว่าต่อไปจะพระราชทานแก่ผู้ที่ได้รับพระราชทานแหวนนพรัตน์เป็นเครื่องราชอิสริยยศด้วย
และใน พ.ศ. ๒๔๐๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง"ดาราช้างเผือก” เป็นแผ่นทองคำสลักดุนเป็นรูปช้างเผือกอันเป็นสัญลักษณ์ของแผ่นดินสยาม และมีพระมหามงกุฎ อันหมายถึงพระบรมนามาภิไธยของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทูลเกล้าฯ ถวายดาราช้างเผือกแด่สมเด็จพระราชาธิบดีประเทศต่าง ๆ พระราชอาคันตุกะ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้มีความชอบยิ่งใหญ่หน้าที่ราชการรวมไปถึงข้าราชการที่จะไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศ ชาวต่างประเทศที่เข้ารับราชการ และราชทูตที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี ในครั้งนั้นทรงบัญญัติศัพท์คำว่า "ดารา” ซึ่งมาจากคำว่า "Star” ในภาษาอังกฤษ เพื่อใช้เรียกเครื่องราชอิสริยยศที่ใช้ติด อกเสื้อ
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงและเพิ่มเติมดวงตรา ดารา และสายสะพาย กำหนดชื่อชั้นและตราพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลต่างๆ ขึ้น แต่ประเพณีการพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศก็ยังคงปฏิบัติสืบทอดต่อมา โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานเครื่องราชอิสริยยศแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอในการพระราชพิธีโสกันต์ และพระราชทานเพิ่มเติมในการสถาปนาพระอิสริยยศเป็น เจ้าต่างกรม และใน พ.ศ. ๒๔๑๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าขึ้น และ ทรงกำหนดให้มีการพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศประกอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า จึงมีการพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศแก่ผู้ที่ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าด้วย
ต่อมาเมื่อมีข้าราชการเพิ่มมากขึ้น การพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศจึงไม่สะดวกรวดเร็วดังเดิม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงงดพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศแก่ข้าราชการ [๒๑] แต่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แทน ส่วนการพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศแก่พระบรมวงศานุวงศ์ในนั้นยังคงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณี ดังจะเห็นได้จากการพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศในครั้งสถาปนาพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอ๊อศคาร์นุทิศ ขึ้นเป็น กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓ การสถาปนาหม่อมเจ้าอาภาพรรณีสวัสดิวัตน์ ขึ้นเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒
ในปัจจุบันการพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศนั้นยังคงมีการพระราชทานในการสถาปนาพระอิสริยยศเป็นเจ้าต่างกรม การสถาปนาพระอิสริยศักดิ์พระบรมวงศานุวงศ์ ได้แก่ การสถาปนาพระอิสริยศักดิ์สมเด็จ พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร การสถาปนาพระอิสริยศักดิ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การเฉลิมพระนามพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า โสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุและผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ ปฐมจุลจอมเกล้า ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ทุติยจุลจอมเกล้า และตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ อันเป็นการรักษาประเพณีอันมีแต่โบราณ แต่ในระยะหลังเนื่องจากผู้ได้รับ การพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้ามีจำนวนมากขึ้น จึงงดการพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศ แต่ผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้ที่อยู่ในเกณฑ์เคยได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศมาแต่โบราณ สามารถขอยืมเครื่องราชอิสริยยศจากกองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง สำหรับนำมา
ปัจจุบันเครื่องราชอิสริยยศ อันเป็นทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินได้รับการดูแลรักษาโดยสำนักทรัพย์สินมีค่า ของแผ่นดิน และมีการคัดเลือกนำมาจัดแสดงภายในศาลาเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญกษาปณ์ ในพระบรมมหาราชวัง โดยมีการจัดแสดง เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เครื่องราชอิสริยยศประเภทต่างๆ ผู้สนใจสามารถเข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา ๘.๓๐ -๑๖.๐๐ น. (ยกเว้นวันที่มีพระราชพิธี)